เที่ยวฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม)

ฤดูร้อน  .... เดือนมิถุนายน -  กรกฎาคม - สิงหาคม 

 

พูดถึงฤดูร้อนของญี่ปุ่น .... คุณพระ!!!! ร้อน แดดเผา สุดๆ   

เนื่องจากการเที่ยวญี่ปุ่น 99 เปอร์เซนต์เราจะเที่ยวกลางแจ้งนะจ๊ะ .... ไม่ได้แบบที่บ้านเรา ร้อนแล้วเราเข้าเดินห้าง .... ให้เพื่อนๆ นึกภาพเดินเที่ยวกลางแดดแบบสงกรานต์บ้านเราเป็นสิบๆ วันจะเป็นไงบ้าง

การวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้ ก็ไม่ต้องคาดหวังวิวทิวทัศน์อะไรเป็นพิเศษ ไปที่ไหนเขียวพรึดไปหมด .....

แต่จุดเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของฤดูร้อนนี้จะมีอยู่สองสามอย่างที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ การชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่เกาะฮอกไกโดะ การปีนเขาฟูจิ และเทศกาลฤดูร้อนใหญ่ๆ ของชาวญี่ปุ่น 

 

1. ชมทุ่งลาเวนเดอร์ ที่ฮอกไกโด (ช่วงพีคจะอยู่ในปลายเดือนก.ค. - ต้นเดือน ส.ค.)

ทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโด ในประเทศญี่ปุ่น หากพูดถึงดอกลาเวนเดอร์ ต้องไปที่เมืองฟุราโนะ ฮอกไกโด ซึ่งที่นี่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ดอกลาเวนเดอร์จะบานสะพรั่งเต็มเนินเขาสุดลูกหูลูกตา เหมือนประหนึ่งปูด้วยพรมสีม่วงสดละลานตา นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติจึงมักนิยมมาที่กันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นอีกที่ที่อยากแนะนำก็คือเมืองบิเอะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองฟุราโนะมากนัก ซึ่งอันนี้ไม่ค่อยน่าห่วงว่าจะมาช้า มาเร็ว เพราะเป็นการลงแปลงดอกไม้ของทางฟาร์มเอกชนเขา  .... สบายใจได้ ....

ลาเวนเดอร์เป็นดอกไม้สีม่วง ที่มีดอกเล็กๆ จำนวนมากเรียงกันเป็นวงรอบก้าน ทั้งยังเป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย ทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตอนใต้ของทวีปยุโรป เมื่อสองพันปีก่อนชาวอียีปต์ ชาวโพลินีเซียน และชาวอาหรับมักใช้ลาเวนเดอร์มาสกัดเป็นน้ำหอม และยารักษาโรค นอกจากนี้ในการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์ ดอกลาเวนเดอร์ยังเป็นส่วนผสมที่สำคัญด้วย
 
Furano (富良野) นับว่าเป็นเมืองอันดับต้นๆสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาติอื่นๆค่ะ เป็นดินแดนแห่งดอกไม้งาม ใครที่มาฮอกไกโดถ้าไม่มาที่ Furano ถือว่ามาไม่ถึงฮอกไกโด ไม่น่าเชื่อว่าความเลื่องชื่อเกี่ยวกับความสวยงามของการปลูกต้นไม้โดยเฉพาะดอกลาเวนเดอร์ โดยให้สีเรียงกันเป็นสายรุ้ง เล่นกันเป็นท้องทุ่งสลับสีกันได้อย่างลงตัว ถ่ายรูปลงเฟสปุ๊บ! ต้องร้องสุโง้ย! กันไปให้งงงวยไปตามๆกัน จากปากต่อปากทำให้ผู้คนหลั่งไหลจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวฮ็อตฮิตติดอันดับโลกได้ง่ายๆอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ใครจะมาดูให้เต็มตาและสวยที่สุดในรอบปีคงต้องเป็นเดือนกรกฏาคม เมื่อทุ่งลาเวนเดอร์อยู่ในบาน ในช่วงฤดูหนาว, Furano จะมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมารวมตัวกันที่นี่โดยไม่ได้นัดหมาย
 
รายละเอียดเพิ่มเติม >> เทศกาลชมดอกไม้
 
 

 

 

2. การปีนเขาฟูจิ 
สำหรับการปีนเขาฟูจิ เพื่อนๆ ก็ต้องฟิตร่างกายนะจร้า เพราะฟูจิซังนั้นมีความสูงถึง 3,776 เมตร อากาศบนนั้นนอกจากหนาวแล้วยังเบาบาง แถมอากาศยังแปรปรวนตลอดเวลา ..... แต่ถ้าพิชิตได้ ก็เป็นความภูมิใจเลยทีเดียว ซึ่งช่วงที่เปิดให้ขึ้นได้ก็คือเดือนกรกฎาคม จนถึงเดือนสิงหาคม   ในช่วงเทศกาลปีนภูเขาไฟฟูจิจะมีนักท่องเที่ยวทั้งจากในญี่ปุ่นและจากต่างประเทศหลั่งไหลกันเข้ามาเยอะมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าจะเหงาเดียวดายอยู่ข้างบนเป็นอะไรขึ้นมาแล้วใครจะไม่รู้ ไม่ใช่แค่คนเยอะธรรมดา แต่บางช่วงของการปีนอาจต้องค่อยๆต่อแถวเดินกันเป็นขบวนอย่างช้าๆเสียด้วยซ้ำ เราเลยพยายามทุกทางที่จะหลีกเลี่ยงช่วงวันวันหยุดยาวโอบ้ง (Obon - ช่วงวันหยุดยาวที่ชาวญี่ปุ่นจะพากันกลับบ้านเกิดเพื่อไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ) ไม่อย่างนั้นอาจเจอการจราจรติดขัดจนขึ้นไม่ทันไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเหนือเมฆจากบนยอด summit เลยก็เป็นได้

    6 เสน่ห์การปีนเขาฟูจิ :

1โกไรโกะ อันน่าประทับใจ

การได้มองพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขานั้นเรียกว่า โกไรโกะ ซึ่งเป็นคำที่แสดงถึงความซาบซึ้งต่อทัศนียภาพตรงหน้า โกไรโกะที่มองจากยอดสูงสุดของภูเขาไฟฟูจิ จุดที่สูงสุดของญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่วิเศษสุด! มีนักปีนเขาจำนวนมากที่แสวงหาโกไรโกะที่กลายเป็นจุดชมวิวที่ครึกครื้นเป็นอย่างมากในช่วงรุ่งสาง

 

2คาเกะฟูจิ อันลึกลับ

คาเกะฟูจิ หมายถึงปรากฎการณ์ที่ภูเขาไฟฟูจิได้รับแสงอาทิตย์และสะท้อนความสวยงามลงมาเป็นเงาด้านล่างภูเขาและท่ามกลางหมู่เมฆ แต่จะไม่ได้เห็นความสวยงามแบบนี้ถ้าสภาพอากาศและตำแหน่ง (ของเมฆและอื่นๆ) ไม่ดีพอ เป็นปรากฎการณ์อย่างหนึ่งที่มีเพียงนักปีนเขาผู้โชคดีเท่านั้นที่จะได้เห็น

 

3วิวมุมกว้างแบบพาโนรามาจากยอดสูงสุด

ยอดสูงสุดของภูเขาไฟฟูจิที่สูงกว่า 3,700 เมตร นั้นสูงเทียมเมฆ คุณจะเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันหลากหลาย ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ รวมถึงวิวด้านล่างที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าและทะเลเมฆที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

4พลังชีวิตที่จะเห็นจากภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นเท่านั้น

ณ จุดสูงสุดของภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ ยังมีแอ่งขนาดใหญ่ที่เกิดจากการระเบิด การเดินดูรอบแอ่งนี้เรียกว่า "โอฮาจิ เมะงุริ" และถือเป็นโปรแกรมการเดินท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ยอดนี้ที่เรียกว่า "เคนกะมิเนะ" มีระยะทางราว 3 กม. และสูงถึง 3,776 ม.เลยทีเดียว!

5ศูนย์กลางแห่งความศรัทธา ณ ภูเขาไฟฟูจิ

ศาลเจ้า ณ ยอดสูงสุดเป็นศาลเจ้าส่วนหลังของ "ฟูจิซัง โชโจ เซ็นเง็น ไทชา" ซึ่งเป็นศาลเจ้าหลักของหมู่ "ศาลเจ้าอาซะมะ" ที่มีกระจัดกระจายอยู่มากถึง 1,300 แห่ง คุณจะสัมผัสได้ถึงความเคารพบูชาที่ชาวญี่ปุ่นมีต่อภูเขาไฟฟูจิเป็นเวลาช้านาน

6จุดแวะชมมากมายทั้งขาขึ้นและขาลง

จากความเขียวชอุ่มรอบพื้นที่โกโกเมะ เมื่อเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะเห็นชั้นหินจำนวนมากขึ้น และอาจได้เห็นดอกไม้ป่าในเขตอัลไพน์ พื้นที่ที่เป็นทราย และธารหิมะแล้วแต่สภาพอากาศ นักท่องเที่ยวที่เคยมาแล้วอาจเลือกใช้เส้นทางอื่นๆ เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ

 

3.ทานาบาตะ เทศกาลขอพรจากดวงดาวของประเทศญี่ปุ่น

ส่วนเทศกาลหน้าร้อนของญี่ปุ่น เช่น เทศกาลดวงดาวหรือเทศกาลทานาบะตะ (Tanabata  Festival) ที่เซนได หรือ เทศกาลเนบุตะ (Nebuta Matsuri) ที่อะโอโมริ รวมทั้งการดูพลุที่กรุงโตเกียว เป็นต้น

จุดเริ่มต้นของ “เทศกาลทานาบาตะ” สืบเนื่องจากตำนานที่ดาวเวก้า คือ ดาวเจ้าหญิงทอผ้า โอริฮิเมะ ลูกสาวของเทพเจ้าเทนไต (ราชาแห่งท้องฟ้า) ผู้มีฝีมือในการทอผ้าเป็นเลิศ ซึ่งฝีมือการทออันประณีตงดงามของเธอ ทำให้เทนไตพอใจเป็นอย่างมาก และคอยให้เธอเป็นคนตัดชุดให้อยู่เสมอ โอริฮิเมะจึงมีหน้าที่ต้องทอผ้าอยู่ข้างแม่น้ำ (ทางช้างเผือก) เป็นประจำ แม้จะเป็นคนสวยมาก แต่โอริฮิเมะไม่มีเวลาไปพบปะใคร เธอจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว

          จนกระทั่งเทนไตเกิดเห็นใจ แนะนำคนเลี้ยงวัว ฮิโกโบชิ หรือดาวอัลแตร์ ให้เธอได้รู้จัก และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าความรักจะทำให้ทั้งโอริฮิเมะและฮิโกโบชิหลงระเริงจนลืมหน้าที่ของตัวเอง โอริฮิเมะไม่ยอมทอผ้า ฮิโกโบชิก็ปล่อยวัวเพ่นพ่านไม่ดูแล เป็นเหตุให้เทนไตโกรธมาก ทั้งคู่จึงถูกจับแยกกัน ทำให้โอริฮิเมะและฮิโกโบชิเศร้าหมองไปตาม ๆ กัน เทนไตอดเห็นใจไม่ได้เลยยอมให้พบหน้ากันเพียงปีละครั้งเท่านั้น แต่ก็ยังมีแม่น้ำหรือทางช้างเผือกขวางกั้น ทำได้แค่เพียงมองหน้าพูดคุยได้เพียงอย่างเดียว ฝูงนกเห็นความเศร้าของทั้งคู่ จึงใช้ตัวเองเป็นสะพานข้ามแม่น้ำให้ทั้งคู่ได้มาอยู่เคียงข้างกัน อย่างไรก็ตาม หากวันที่ 7 เดือน 7 ปีใดฝนตก นกจะไม่บินมา ทำให้พวกเขาต้องรอพบกันใหม่ปีหน้า

เทศกาลทานาบาตะที่จัดขึ้นทุกวันที่ 7 กรกฎาคม (วันที่ 7 เดือน 7 ของทุกปี)  ซึ่งชาวญี่ปุ่นจะขอพรจากดวงดาว เพราะเชื่อว่าปาฏิหาริย์ที่ทำให้ทั้งคู่ได้เจอกัน จะทำให้พรของตัวเองสมหวังด้วยเช่นกัน โดยในวันนี้ผู้คนจะเขียนคำอธิษฐานลงบนกระดาษทันซาคุ แล้วนำไปติดไว้กับกิ่งก้านของต้นไผ่ที่ถูกตัดออกมา พอวันรุ่งขึ้นก็จะนำไปลอยน้ำ

          โดย กระดาษทั้งหมดจะมี 5 สี สื่อความหมายแตกต่างกันไป ได้แก่ สีเขียวที่หมายถึงความก้าวหน้าในการเรียนและหน้าที่การงาน, สีเหลืองคือโชคลาภเงินทอง, สีแดงคือความสำเร็จ, สีชมพูคือความรัก และสีฟ้าได้แก่ความสุข ซึ่งในช่วงเทศกาลบ้านและร้านรวงต่าง ๆ จะประดับประดาด้วยกระดาษสีเหล่านี้ทำให้ทั่วญี่ปุ่นเต็มไปด้วยสีสันสดใส



          นอกจากนี้ ชาวบ้านยังนิยมใส่ชุดประจำชาติเช่น ยูคาตะ เดินกัน ทำให้บรรยากาศดูสดใสครึกครื้นขึ้นอีก แถมปัจจุบันยังมีการเพิ่มขบวนพาเหรดสวย ๆ มีการจุดพลุ และอาหารแผงลอยรวมทั้งของที่ระลึกหลากหลายขายกันมากมายให้เราได้เดินดูงานไปด้วย ชิมอาหารอร่อย ๆ ไปพลางอีกต่างหาก เรียกได้ว่ามีความสนุกครบวงจรเลยล่ะ


 

          ซึ่งถึงแม้วันนี้คุณจะยังไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ของดวงดาว แต่ถ้าได้มองดวงดาวและขอพรดูสักครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศและความศรัทธาเต็มเปี่ยมที่เกิดขึ้นในเทศกาลทานาบาตะ ไม่แน่ว่าคุณอาจได้เจอปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไม่คาดฝันก็ได้นะคะ