ประเทศจีน

ข้อมูลท่องเที่ยว ปักกิ่ง

 
  
บรรยากาศกรุงปักกิ่ง
 
  
กายกรรมปักกิ่ง
ปักกิ่ง (ฺำฺำBeijing)
 

ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่อันดับสองของประเทศจีนรองจากเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งเป็นศูนย์กลางทางการปกครอง การศึกษา การขนส่ง และวัฒนธรรมจีน ในขณะที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจนั้นจะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้และฮ่องกง ปัจจุบัน แบ่งเป็น 16 เขตและ 2 อำเภอ เป็นนครที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง พื้นที่ทั่วนครเป่ยจิงมีถึง 16,800 ตารางกิโลเมตร ถึงสิ้นปี 2002 ทั่วนครเป่ยจิงมีประชากร 1,136,300 คน นครเป่ยจิงเป็นศูนย์การเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษาและเขตชุมทางการคมนาคมทั่วประเทศจีนและก็เป็นเมืองท่อง เที่ยวที่มีชื่อดังทั้งในประเทศจีนและในโลก แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีกำแพงเมืองจีน พระราชวัง โบราณ หอฟ้าเทียนถัน สุสานจักรพรรดิสมัยราชวงศ์หมิง วังพักร้อนอี๋เหอหยวนและภูเขาเซียงซาน เป็นต้น ปัจจุบันปักกิ่งเป็นเขตการปกครองพิเศษแบบมหานคร 1 ใน 4 แห่งของจีน ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับมณฑลหลังจากปักกิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 โดยเฉพาะหลังจากสมัย 80 ศตวรรษที่ 20 เมืองปักกิ่งได้พัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปัจจุบันนี้ปักกิ่งมีถนนที่สลับกัน ตึกสูงๆ โดยไม่เพียงแต่รักษาสภาพเมืองโบราณ และยังแสดงถึงสภาพเมืองที่ทันสมัย กลายเป็นเมืองใหญ่ของโลก


• กันยายน – ตุลาคม: ฤดูใบไม้ร่วง
• ปลายเมษายน – กลางมิถุนายน: ฤดูใบไม้ผลิ
• มิถุนายน – ปลายสิงหาคม: ฤดูร้อน
• กรกฎาคม – สิงหาคม: ฤดูฝน
• พฤศจิกายน – มีนาคม: ฤดูหนาว หิมะ 

ประวัติศาสตร์เมืองปักกิ่ง
 
ปักกิ่ง หรือ เป่ย์จิง (Beijing)เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อย่อว่า จิง ตั้งอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของ ที่ราบหวาเป่ย ชื่อเดิมคือ จี่ สมัยชุนชิวจ้านกั๋วเป็นเมืองหลวงของแคว้นยัน สมัยราชวงศ์เหลียว เป็นเมืองหลวงรอง ชิ้อยันจิง เป็นเมืองหลวงของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิน หยวน หมิง ชิงจนถึง สาธารณรัฐจีน เคยใช้ชื่อจงตู ต้าตู เป่ยผิงและเป่ยจิง เริ่มตั้งเป็นเมืองตั้งแต่ปี 1928 มีประวัติความเป็นมา เริ่ม ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งมี การขุดค้นพบกะโหลก มนุษย์ปักกิ่งตามหลักฐานที่พิสูจน์ได้ปักกิ่งมีความเจริญ รุ่งเรืองมานับแต่ คริสต์ศตวรรษ ที่ 13 ในปี พ.ศ. 1964 (ค.ศ. 1421) จักรพรรดิหย่งเล่อ ได้ทำการก่อสร้างและออกแบบผัง เมืองใหม่และย้ายฐานราชการชั่วคราวในขณะนั้นจาก เมืองหนานจิงมายัง เป่ยจิง หรือปักกิ่งในปัจจุบัน
สถานที่ท่องเที่ยวปักกิ่ง
 
  
กำแพงเมืองจีน
 
กำแพงเมืองจีน 
เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วงๆของจีน  สมัยโบราณสร้างในสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นครั้งแรก  กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่อ   อีกหลายครั้งด้วยกัน  แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ  กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ มีความยาวทั้งหมดถึง 6,350 กิโลเมตร และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก  ยุคกลางด้วยกำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นกว่า 2000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้    จักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์จีนจุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือโดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติม   โดยกษัตริย์องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์จนสำเร็จในที่สุด  กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่เคยมีมา
มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนที่หลายๆ คนยังไม่เคยทราบมาก่อน 
1.เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนุษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low Earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radarการมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน 
2.กำแพงเมืองจีนไม่ใช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร 
3.กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง 
4.ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้"(หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร 
5.การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฏภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก
6.กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ 300 ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ี้ยังมีหอสังเกตการณ์กว่า 1หมื่นแห่ง 
7.กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น 
8.กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่า กำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน 9.สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจ ประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ
 
  
จัตุรัสเทียนอันเหมิน
จัตุรัสเทียนอันเหมิน 
สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติจีนยุคใหม่ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง จัตุรัสแห่งนี้ประกอบด้วยอนุสรณ์วีรบุรุษศาลาประชาคม และสถานลำรึกท่านประธานเหมา ในทางด้านเหนือสุดของจัตุรัส เป็นที่ตั้งของหอเทียนอันเหมิน

หอเทียนอันเหมิน 
เป็นหอที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1417 ในรัชสมัยราชวงศ์หมิง ปกครอง ใช้เป็นพิธีกรรมสำคัญ กล่าวคือ พิธีประกาศแต่งตั้งสามัญชนเป็นจักรพรรดิ หรือ จักรพรรดินี บริเวณด้านหน้า พระราชวังต้องห้าม (กู้กง) ในปี ค.ศ.1911 ในช่วงยุคสุดท้ายของระบบศักดินา สถานที่แห่งนี้กลายเป็นเขตต้องห้ามมิให้คนทั่วไปเข้าไปได้ยกเว้นราชวงศ์และขุนนางเท่านั้น

อนุสรณ์วีรบุรุษ 
เป็นแท่งหินสูงตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัสเทียนอันเหมินสร้างขึ้นในปี  ค.ศ.1952 เป็นอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติจีน “วีรบุรุษของประชาชน เป็นอมตะ”คือข้อความที่ท่านประธานเหมาได้จารึกที่อนุสรณ์

ศาลาประชาคม 
อยู่ทางด้านตะวันตก สร้างขึ้นในปี 1959 เป็นที่ประชุมระดับชาติ ทั้งทางด้านการเมืองและการทูต ภายในมีห้องประชุมขนาดใหญ่ 2ห้อง หลักๆ บรรจุได้รวม 15,000 ที่นั่ง สถานรำลึกประธานเหมา ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของจัตุรัส แบ่งออกเป็น 3ส่วน และ ที่ตั้งของโลงแก้วคริสตัลบรรจุร่างของท่านประธานเหมา โดยรอบๆของสถานรำลึกประดับด้วยดอกไม้สีสันสวยสดงดงามเพื่อให้แลดูสดชื่น 
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของจัตุรัส ซึ่งเป็นที่ผนวกเอาพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนกับพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติ ใน ปี คศ.2003 ตั้งอยู่ด้านหน้าศาลาประชาคม ภายในพิพิธภัณฑ์ปฏิวัติจัดแสดง ภาพ , หนังสือ และ แบบจำลองของจีนยุคใหม่ ส่วนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีน จัดแสดง ภาพของโบราณต่างๆ ที่มีอายุยาวนาน และ ความรุ่งเรืองของจีน เมื่อ 1,700,000ปีที่ผ่านมา จนถึงปี 1921 ซึ่งเป็นปีที่ราชวงศ์สุดท้ายสละบัลลังก์ ในปัจจุบัน นี้ จัตุรัสแห่งนี้ ได้กลายสภาพเป็นเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ กินเนื้อที่กว่า 440,000 ตารางเมตร
 
 
  
พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้าม 
พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า"เมืองต้องห้ามสีม่วง"พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน (39°54′56″N, 116°23′27″E) เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963 พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน  นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด ในอดีตภายในเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้
ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลยแม้ว่า ประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีนและภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้ยูเนสโก        ได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยาง  เป็นหนึ่งในมรดกโลกในนามพระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เมื่อ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) โดยเป็นมรดกโลกที่เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้โบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก
 
 
  
พระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวน
พระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวน
"อี้เหอหยวน" หรือวังฤดูร้อน วังฤดูร้อนหรือที่เรียกกันว่า สวนสาธารณะอี้เหอหยวนนั้น ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง เป็นพระราชอุทยานที่มีทัศนียภาพที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ทั้งหมด ๒๙๐ เฮกต้าร์ ประกอบด้วยเนื้อที่ที่เป็นนํ้า ๓ ส่วน เนื้อที่ที่เป็นดิน ๑ ส่วน เมื่อศตวรรษที่ ๑๒ จักรพรรดิองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์จินทรงมีพระราชโองการให้สร้างที่ประทับแรมขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก ต่อมาในหลายราชวงศ์มีการสร้างเสริมเติมต่อหลายครั้ง พระจักรพรรดิเฉียงหรงแห่งราชวงศ์ชิงทรงมีพระราชโองการให้สร้างขยายอุทยานแห่งนี้ให้กว้างออกไปและทรงให้ชื่อว่า อุทยาน "ชิงอีหยวน" เมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๐ อุทยานแห่งนี้ถูกทหารพันธมิตร อังกฤษ - ฝรั่งเศสเผาทําลาย ต่อมาเมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๘ พระนางซูสีได้ใช้งบประมาณกองทัพเรือของชาติซี่งเป็นเงินแท่ง ๕ ล้านตําลึงมาสร้างอุทยานนี้ขึ้นใหมและเปลี่ยนชื่อเป็น "อี้เหอหยวน" อุทยานนี้มีชื่อเลื่ื่องลือไปทั่วโลก
ก็ด้วยมีทิวทัศน์สวยงาม อุทยานอี้เหอหยวนประกอบด้วยสองส่วนคือ เขา "ว่านโซ่วซาน" และ ทะเลสาบ "คุนหมิงหู" บนเขาว่านโซ่วซานได้สร้างวิหาร ตำหนัก พลับพลา และเก๋งจีนอันงดงามไว้หลายรูปหลายแบบ ตั้งอยู่ลดหลั่นรับกันกับภูมิภาพ ที่เชิงเขามีระเบียงทางเดินที่มีระยะทางไกลถึง ๗๒๘ เมตร ลัดเลาะไปตามริมทะเลสาบคุนหมิงหู ในทะเลสาบคุนหมิงหูมีเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง มี สะพาน ๑๗ โค้งอันสวยงามเชื่อมติดกับฝั่ง ทั่วทั้งอุทยานจัดไว้ได้สัดส่วนงดงามตระการตาซึ่งแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของศิลปะในการสร้างอุทยานของจีน
 
 
  
วัดลามะ
วัดลามะ 
วัดลามะหรือ ยงเหอกง เป็นวัดหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบตอันลือชื่อ กินเนื้อที่กว่า 6 หมื่นตารางเมตร ตำหนักต่าง ๆมี กว่า 1000 ห้อง วัดลามะนี้แต่เดิมเป็นพระตำหนักที่เฉียนหรงฮ่องเต้  กษัตริย์องค์ที่สองของราชวงศ์ชิงสร้างให้องค์ชายสี่หรือหย่งเจิ้ง ปีค.ศ 1723 องค์ชายสี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 3 จึงย้ายเข้าไปประทับในพระราชวังโบราณ ส่วนพระตำหนักนี้  มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งปรับเป็นที่พักผ่อนอิริยาบถนอกวัง ขององค์ชายสี่ อีกครึ่งหนึ่งถวายพระลามะจังเจียฮูถูเค่อถู จึงกลายเป็นวัดลามะของทิเบตนิกายหมวกเหลือง   นิกายหมวกเหลืองเป็นนิกายย่อยนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบต  ผู้ก่อตั้งชื่อ หลัวปู้จ้าง จงเค่อปา เริ่มบวชตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พออายุ 17 ปีก็เดินทางไปทิเบตเพื่อศึกษาคัมภีร์นิกายลามะ ต่อมาได้เป็นนิกายศาสนาพุทธที่ปกครองทิเบต   เนื่องจากพระภิกษุของนิกายนี้สวมจีวรสีเหลือง จึงได้ชื่อว่านิกายเหลือง พระลามะองค์นี้มีคุณูปการสำคัญต่อการปฏิรูปนิกายลามะ
ทั้งพระทะไลลามะและพระปันเชนลามะล้วนเป็นลูกศิษย์ของท่าน ในวัดลามะมีโบราณวัตถุและสิ่งปลูกสร้างโบราณมากมาย ในจำนวนนี้มีของล้ำค่าอยู่ 3 อย่าง ของล้ำค่าอย่างแรกคือภูเขาพระอรหันต์ 500 รูป สูงเกือบ 4 เมตร ยาวกว่า 3 เมตร แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอม หากมองดูไม้แกะสลักชิ้นนี้แต่ไกล จะเห็นเป็นภาพภูเขาเขียวนิ่งสงบ ต้นสนเขียวขจี พระเจดีย์แกะสลักอย่างประณีต ศาลาโบราณเรียบง่าย มีถ้ำลึกลับ ทางเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยว มีบันได สะพานและสายน้ำเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แต่ถ้ามองดูให้ใกล้ชิด จะเห็นฝีมือแกะสลักที่ชำนาญยิ่ง มีเขาหลายรูปติดต่อกันเป็นชั้น ๆ ตามเขาเหล่านี้มีพระอรหันต์ 500 องค์กระจายอยู่ แม้จะเป็นรูปแกะสลักเล็ก ๆ ก็ตาม แต่ทุกรูปมีหน้าตารูปร่างต่างๆ กัน มีชีวิตชีวา เป็นงานแกะสลักที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ที่น่าเสียดายก็คือหลังจากผ่านภัยสงครามมาหลายครั้ง พระอรหันต์บนเขามี เหลืออยู่เพียง 449 องค์เท่านั้น ของที่ล้ำค่าอย่างที่สองคือ พระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยที่อยู่ในวิหารว่านฝูเก๋อ วิหารว่านฝูเก๋อยังได้ชื่อว่าเป็นหอพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เป็นวิหารที่สูงใหญ่ที่สุดภายในวัดลามะ สูงกว่า 30 เมตร มีหลังคา 3 ชั้น ก่อด้วยไม้ทั้งหมด ในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยปางยืนที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมสีขาว สูง 26 เมตร ส่วนล่าง 8 เมตรฝังอยู่ใต้ดิน อีก 18 เมตรอยู่เหนือพื้นดิน พระพุทธรูปทั้งองค์มีน้ำหนักประมาณ 100 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากต้นไม้ต้นเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อค.ศ 1979 มีการบูรณะซ่อมแซม พบว่าไม้จันทน์หอมที่ฝังอยู่ใต้ดินนั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 200 ปี แต่เนื้อไม้ยังแข็งแกร่งไม่สึกหรอ แสดงให้เห็นถึงฝีมือระดับสูงในการแกะสลักและการอนุรักษ์โบราณวัดถุของช่างประติมากรรมโบราณของจีนอย่างเต็มที่ ของที่ล้ำค่าอย่างที่สามคือแท่นพระพุทธรูปในวิหารเจ้าฝูโหลว ข้างในมีพระพุทธรูปพระศากยมุนีที่หล่อด้วยทองเหลือง ด้านหลังของพระพุทธรูปมี ประภามณฑลเหมือนฉากบังตา แท่นบูชาพระพุทธรูปและประภามณฑลล้วนแกะสลักด้วยไม้ชื่อว่า จินเซอหนานมู่ ฝีมือแกะสลักก็ประณีตมาก แท่นพระพุทธรูปมีส่วนบนสูงจรดเพดาน แบ่งเป็นชั้นนอกชั้นใน 3 ชั้น ในยามตะวันตกดิน พระพุทธรูปประทับยืนอย่างสง่างาม แสงอาทิตย์ส่องกระทบกระจกเงาที่ทำ ด้วยทองเหลืองที่ติดอยู่บนประภามณฑล แสงสะท้อนตามกระจกเงาทองเหลืองเป็นวงกลมล้อมรอบองค์พระพุทธรูป บวกกับแสงของตะเกียงที่ไม่มีวันดับ ทำให้ข้างในวิหารสว่างไสวไปทั่ว แท่นพระพุทธรูปส่วนบนมีเสาไม้แกะสลักมังกรทองคำ 2 เสาค้ำรับไว้ คานเพดานหุ้มด้วยทองคำ แกะสลักมังกร 99 ตัวพัน อยู่โดยรอบมังกรบางตัวกางเล็บออกมา บางตัวทำท่ากำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนจริงมาก นอกจากของล้ำค่า 3 อย่างดังกล่าว สถาปัตยกรรมและของประดับประดาภายในวัดลามะล้วนมีลักษณะพิเศษโดดเด่น เช่นวิหาร ฝ่าหลุนเตี้ยนเป็นสิ่งปลูกสร้างทรงจตุรมุข บนหลังคาวิหารมีเจดีย์บุทองคำ 5 องค์เลียนแบบทรงทิเบต เป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของชนชาติทิเบต ซึ่งรวมเอาศิลปวัฒนธรรมทั้งแบบชนชาติจีนและชนชาติทิเบตเข้าด้วยกัน ในวัดยังมีแท่นศิลาจารึกที่มี4 ด้าน 4 ภาษา แต่ละด้านแกะสลักตัวอักษรภาษาจีน ภาษาแมนจู ภาษามองโกลและภาษาทิเบต เนื้อหาของตัวอักษรเหล่านี้มาจากหนังสือ หล่ามาซัว(ทฤาฎีลามะ) ซึ่งจักรพรรดิ์สมัยราชวงชิงทรงนิพนธ์ กล่าวถึงความเป็นมาของศาสนาพุทธนิกายทิเบตและนโยบายของรัฐบาลชิงที่มีต่อนิกายลามะ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของชนชาติต่าง ๆ ในจีน วัดลามะเปิดให้ผู้คนเข้าชมเมื่อปีค.ศ 1981 แต่ละปีมีผู้คนทั้งในและต่างประเทศจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนมาเยี่ยมชมและกราบไหว้บูชา ปัจจุบัน วัดลามะมิเพียงแต่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นค ลังแห่งศิลปวัฒนธรรมของชนชาติจีน แมนจู มองโกลและทิเบตด้วย
 
 
  
หอฟ้าเทียนถาน
หอฟ้าเทียนถาน
หอฟ้าเทียนถานเป็นสถานบวงสรวงเทพยดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งยังคงรักษา ไว้ในจีน ประกอบด้วยตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่ และลานหยวนชิว เป็นต้น เทียนถานตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง มีเนื้อที่ทั้งหมด ๒๗๓ เฮกต้าร์ เป็นสถานซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา ในระยะย่างเข้าฤดูหนาวถึงเดือนอ้ายตามจันทรคติทุกปี       พระจักรพรรดิจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงที่นั่น เพื่อให้การเก็บเกี่ยวได้ผลอุดม ตําหนักฉีเหนียนเตี้ยนเป็นตําหนักเอก เริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. ๑๔๒๐ ห่างจากปัจจุบัน ๕๐๐ กว่าปี เป็นรูปทรงกลมหลังคา ๓ ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีนํ้าเงิน ไม่มีขื่อและอกไก่ อาศัยเสาไม้ ๒๔ ต้น เป็นโครงยึดไว้ซึ่งได้ชื่อว่า"ตําหนักไม่มีขื่อ"ภายในตําหนักมีภาพวาดสีประณีตงดงาม บนเพดานวาดเป็นรูปมังกรและหงส์ลานหยวนชิวซึ่งตั้งอยู่ทางด้านใต้ของตําหนักฉีเหนียนเตี้ยนเป็นแบบคล้ายเวทีกลม ๓ ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีนํ้าเงินและสีขาว แต่ละชั้นล้อมรอบด้วยลูกกรงหินอ่อนสีขาว
เป็นสถานซึ่งพระจักรพรรดิบวงสรวงเทพยดาหรือขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล  ตําหนักหวงฉงอี่สร้างเป็นรูปทรงกลมหลังคาชั้นเดียวมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีนํ้าเงินแก่ เป็นสถานสําหรับเก็บรักษาแผ่นป้ายพระนามเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ตําหนักนี้ล้อมรอบด้วยกําแพงเตี้ย ๆ กําแพงนี้สร้างถูกต้องตามหลักวิชาว่าด้วยเสียง จึงสะท้อนเสียงได้จนเป็นที่เลื่องลือ เมื่อสองคนยืนอยู่ที่กําแพงคนละฟาก คนหนึ่งพูดใส่กําแพงเบา ๆ อีกคนหนึ่งเอาหูแนบกับกําแพง ก็จะได้ยินเสียงพูดจากฝ่ายตรงกันข้าม

 



 

จัตุรัสเทียนอันเหมิน

จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัญลักษณ์ของประเทศจีนยุคใหม่ สถานที่จัดงานพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษต่างๆ บันทึกภาพเพื่อเป็นที่ระลึกกับอนุสาวรีย์วีรชน ศาลาประชาคม และ หอระลึกประธานเหมาเจ๋อตุง 

พระราชวังต้องห้ามกู้กง

 

สถานที่ว่าราชการและที่ประทับของจักรพรรดิ์ 24 พระองค์ ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ชมโบราณสถานและสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สร้างขึ้นบนพื้นที่ 720000 ตารางเมตร ชมหมู่อาคารเครื่องไม้ที่ประกอบด้วยห้องหับต่างๆถึง 9999 ห้อง ชมพระตำหนักว่าราชการ พระตำหนักชั้นใน ห้องบรรทมของจักรพรรดิ์ และห้องว่าราชการหลังมู่ลี่ไม้ไผ่ของพระนางซูสีไทเฮา

    สนามกีฬารังนกโอลิมปิก 2008

  ใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขันปักกิ่งโอลิมปิก 2008 มีลักษณะภายนอกคล้าย   กับรังนก ที่มีโครงตาข่ายเหล็กสีเทาๆเหมือนกิ่งไม้ ห่อหุ้มเพดานและผนัง   อาคารที่ทำด้วยวัสดุโปร่งใส                                                                                                       

หอฟ้าเทียนถาน 

                                ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง มีเนื้อที่ทั้งหมด 273 เฮกต้าร์ เป็นสถานซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา ในระยะย่างเข้าฤดูหนาวถึงเดือนอ้ายตามจันทรคติทุกปี พระจักรพรรดิจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงที่นั่นเพื่อให้การเก็บเกี่ยวได้ผลอุดม ประกอบด้วยตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่และลานหยวนชิว เป็นต้น 

กายกรรมปักกิ่ง 

 

กายกรรมปักกิ่ง..สุดยอดกายกรรมของจีน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าชม ประทับใจ หาดูได้ยาก มีสีสรร ตระการตา ลือชื่อก้องโลก มีการแสดงที่สนุกสนาน ตื่นเต้น โดยนักแสดงลงมาเต้นระบำ(จีน) ร่วมกับคนดูบ้าง แสดงบนเวทีบ้าง เร้าใจไปกลับการแสดงชุดกายกรรมอลังการต่างๆฉากหลังมีการเปลี่ยนฉาก และแสงสี ตามการแสดงของแต่ละชุด เชิญชม กายกรรมปักกิ่ง พร้อมกับเก็บภาพที่สวยงาม ความเป็นธรรมชาติของเหล่านักแสดงที่หาชมได้เฉพาะที่นี่ที่เดียว

ประตูชัย ปักกิ่ง

สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองปักกิ่ง เป็นประตูเมืองซึ่งในสมัยโบราณ ก่อนทำการรบ จะมีการบวงสรวง และขอพรจากผีชิวประจำเมืองที่ประตูชัยนี้ และที่นี่ท่านจะได้ศาสตร์แห่งการเสริมบารมี ศาสตร์การแก้ไขฮวงจุ้ยของชาวจีน และท่านที่ทำการค้าขาย หรือทำธุรกิจ สามารถเช่า ผีชิว

ชม  ผีชิว หรือ ปี่เซียะ หรือ ผีเซี๊ยะ เป็นเทพปี่เซียะ(ร่ำรวย) เรียกทรัพย์ในสมัยโบราณ ถือว่าเป็นความลับที่รู้กันภายในของคนชั้นสูงของจีน ว่าเป็นเทพเรียกทรัพย์ และขับไล่สิ่งอัปมงคลชั่วร้าย จึงได้พยายามเสาะแสวงหาไว้เป็นเจ้าของ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่นับว่าเป็นความลับอีกต่อไป และยังเป็นที่รู้จักทั่วไปในหมู่ชาวบ้านอย่างแพร่หลายในแถบเอเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย เชิญเลือกซื้อเครื่องรางของขลังจากประเทศจีน มีหลากหลายรุ่นและขนาด ให้เงินทองไหลมาเทมา

พระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน 

                         

                         พระราชวังฤดูร้อน หรือ พระราชวังอวี้เหอหยวน..อุทยานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 800 ปีก่อนที่ พระนางซูสี ไทเฮา ใช้เป็นที่แปรพระราชฐาน สร้างขึ้นโดยใช้งบประมาณของทหารเรือ และใช้แรงงานของทหารรักษาพระองค์ เชิญชมปราสาท,ตำหนัก,เก๋งจีน และศาลาในแบบต่าง ๆ รวม 3,000 แห่ง รายล้อมไปด้วยทะเลสาบคุนหมิง ที่ขุดด้วยแรงงานมนุษย์ และภูเขาเทียม ภายในพระตำหนักเพียบพร้อมด้วยโรงมหรสพต่าง ๆ ที่ให้ความสำราญแด่พระนางซูสี ไทเฮา เมื่อครั้งอดีตกาลเข้าชมสิ่งก่อสร้างงามๆมีหลายแห่งภายใน เช่นระเบียงยาวในพระราชวังฤดูร้อน,เรือหินอ่อน,บ้านที่พักของลิเลียนยิง,ตำหนักที่คุมขังฮ่องเต้,โรงงิ้ว



 

  
  
  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

SNOW WORLD

ทริปเที่ยวปักกิ่งในช่วงฤดูหนาว คือตั้งแต่เดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นช่วงฤดูหนาว และมีหิมะตก อุณหภูมิ ลดลงต่ำถึง – 10 องศา และ 15 องศาในบางวัน หนาวมากๆ คือจะต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อม และที่ขาดไม่ได้ที่คนไทยต้องไปเที่ยวคือ Snow World เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักเล่นสกี และแผ่นเลื่อน ตอนนี้ไม่ต้องบรรยายกันมาก

  

 

ลานสกีอินดอร์(Qiao Bo Ice & Snow World)    Qiao Bo Ice & Snow       World เป็นลานสกีในร่มเพียงที่เดียวและใหญ่ที่สุดของปักกิ่งและของประเทศจีนที่สามารถเล่นสกีได้ตลอดปี ด้วยพื้นที่กว่า 30 ไร่ Qiao Bo Ice & Snow Worldเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับสร้างหิมะเทียม เพื่อรับประกันความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวผู้มีใจรักกีฬาสกีว่า สามารถเล่นสกีได้ตลอดทั้งปี Qiao Bo Ice & Snow World มีขนาดใหญ่ สามารถจุนักเล่นสกีได้ถึง 3000 คน และมี Ski Center  พร้อมไปด้วยอุปกรณ์สำหรับเล่นสกีสำหรับเด็กสโนว์บอร์ด รวมถึงลู่เล่นสกีอันทันสมัยเพียบพร้อมและเหมาะสำหรับความต้องการของนักสกีทุกระดับและทุกความต้องการ